วันจันทร์ที่ 20 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560

ว่านพังพอน

ว่านพังพอน
 124439

ชื่อวิทยาศาสตร์ :Tacca integrifolia Ker Gawl.
ชื่อวงศ์ :TACCACEAE
ชื่อสามัญ :Black lily
ชื่อพื้นเมืองอื่นๆ :นิลพูสี (ภาคกลาง), เนียมฤๅษี (เชียงใหม่), ม่านแผลน (นครศรีธรรมราช), ฤๅษีนางครวญ (นราธิวาส)     เต่โต่เยง(ม้ง) 
ถิ่นกำเนิด :ประเทศไทย
การกระจายพันธ์ในประเทศไทย : ในประเทศไทยพบได้ทั่วไปในป่าดงดิบชื้น ที่มีความสูงจากระดับน้ำทะเล 500-1,000 เมตร ในภาคใต้ของประเทศไทยมีมาก
การกระจายพันธ์ในประเทศอื่นๆ :ในต่างประเทศพบที่อินเดีย บังคลาเทศ พม่า จีนตอนใต้ ลาว มาเลเซีย
สภาพนิเวศวิทยา :เป็นไม้ล้มลุกมีเหง้าเจริญตามแนวราบใต้ดิน  ชอบขึ้นในที่ชื้น  ระบายน้ำได้ดี
และมีแดดรำไร โดยธรรมชาติจะพบในป่าดงดิบชื้น
เวลาออกดอก :ออกดอกปลายฝน  ดอกของเนระพูสีไทยมีสีม่วงดำ ก้านดอกชูขึ้นมาสูงจากกลางกอ
ช่อดอกเป็นแบบช่อกระจุกดอกออกแน่นล้อมรอบด้วยใบประดับรูปไข่ 2 ใบ ตรงกลางดอก
มีเกสรตัวผู้และตัวเมียสีดำสนิท  มีกลีบดอก 2 กลีบ  ลักษณะรีรูปทรงกลม รังไข่ใต้วงกลีบ
ดอกด้านใน จะเป็นเส้นยาวคล้ายด้าย ยื่นห้อยลงมา   เมื่อพิจารณาโดยรวมแล้ว  ดอกของ
เนระพูสีไทย  จะมีลักษณะคล้ายค้างคาวกำลังกางปีก ( จึงได้ชื่อว่า ว่านค้างคาวดำ)
การขยายพันธ์ :สามารถขยายพันธุ์ได้ง่ายด้วยวิธีแยกหน่อหรือจะใช้วิธีปลูกด้วยเมล็ดก็ได้แต่ค่อนข้างจะช้ากว่าวิธีแยกหน่อ
การใช้ประโยชน์ทัวไป :ทางอาหาร ใบยอดอ่อน เผาไฟ ลวกต้ม กินกับป่น ลาบ ทางยา หัว หั่นแว่น ดองเหล้า เป็นยกบำรุงกำลัง มูเซอใช้ต้น ใบ ราก ต้มกิน แก้มะเร็งการใช้สอยอื่น ไม้ประดับ
เอกสารอ้างอิง :

มะขาม

 มะขาม
 w11-4
ชื่อวิทยาศาสตร์ Tamarindus indica  L
ชื่อวงศ์ : Leguminosae – Caesalpinioideae
ชื่อสามัญ  : Tamarind, Indian date
ชื่อพื้นเมืองอื่นๆ : ขาม (ภาคใต้) ตะลูบ(ชาวบน-นครราชสีมา) ม่องโคล้ง (กะเหรี่ยง-กาญจนบุรี) อำเปียล (เขมร-สุรินทร์) หมากแกง (เงี้ยว-แม่ฮ่องสอน) ส่ามอเกล (กะเหรี่ยง-แม่ฮ่องสอน)
 ถิ่นกำเนิด :   มีถิ่นกำเนิดอยู่ในทวีปแอฟริกาแถบประเทศซูดาน ต่อมามีการนำเข้ามาในประเทศแถบเขตร้อนของเอเชีย และประเทศแถบละตินอเมริกา และในปัจจุบันมีมากในเม็กซิโก
การกระจายพันธุ์ในประเทศไทย ภาคเหนือ อำเภอ หล่มเก่ จังหวัดเพชรบูรณ์ และบางจังหวัดของภาคกลาง
การกระจายพันธุ์ในประเทศอื่นๆ  ประเทศซูดาน  ประเทศอินเดีย  เปอร์เซีย  เอเชียตะวันออก
สภาพนิเวศวิทยา : เป็นพรรณไม้กลางแจ้งที่ชอบแสงแดด เจริญเติบโตได้ดีในดินทุกสภาพ ขึ้นได้ในดินแทบทุกชนิดแม้แต่ดินลูกรัง เจริญในดินร่วน ทนแล้งได้ดี ฤดูที่เหมาะสมคือฤดูฝน
เวลาออกดอก : 1 ปี  มะขามจะออกดอกและบานประมาณ 5-10 ชุด ระยะเวลาไม่เกิน 2 เดือน
การขยายพันธุ์ : มีการขยายพันธุ์ด้วยการเพาะเมล็ด หรือการตอนกิ่ง
การใช้ประโยชน์ทั่วไป :     ราก –  แก้ท้องร่วง สมานแผล รักษาเริม และงูสวัด
เปลือกต้น – แก้ไข้ ตัวร้อน
แก่น – กล่อมเสมหะ และโลหิต ขับโลหิต ขับเสมหะ รักษาฝีในมดลูก รักษาโรคบุรุษ เป็นยาชักมดลูกให้เข้าอู่
ฝักดิบ – ฟอกเลือด และลดความอ้วน เป็นยาระบายและลดอุณหภูมิในร่างกาย บรรเทาอาการไข้
ดอกสด – เป็นยาลดความดันโลหิตสูง
ประวัติพันธุ์ไม้(การนำเข้ามาปลูกในไทย) :
เอกสารอ้างอิง :                                              http://www.rspg.or.th/plants_data/herbs/herbs_16_3.htm

ชงโค

ชงโค
 chongko
ชื่อวิทยาศาสตร์ Bauhinia purpurea L.
ชื่อวงศ์ : LEGUMINOSAE-CAESALPINIOIDEAE
ชื่อสามัญ  : Purple Orchid Tree, Hong Kong Orchid Tree, Purple Bauhinia
ชื่อพื้นเมืองอื่นๆ : เสี้ยวเลื่อย (ภาคใต้) , เสี้ยวดอกแดง (ภาคเหนือ) , เสี้ยวหวาน (แม่ฮ่องสอน)กะเฮอ สะเปซี (กะเหรี่ยง-แม่ฮ่องสอน)
ถิ่นกำเนิด : มีถิ่นกำเนิดทางตอนใต้ของประเทศจีนรวมถึงฮ่องกงและทางเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
สภาพนิเวศวิทยา : เจริญเติบโตได้ดีในที่อากาศเย็น
เวลาออกดอก : ออกดอกตลอดปี
เวลาติดผล: ลักษณะเป็นฝักแบนคล้ายฝักถั่ว แก่ประมาณเดือนกันยายน-ธันวาคม ขนาดกว้างราว ๑.๕ เซนติเมตร ยาว ๑๕-๒o เซนติเมตร เมล็ดค่อนข้างแบน ฝักแก่จะแตกออกเป็นสองซีกตามความยาวของฝัก
การขยายพันธุ์ : การตอนกิ่ง เพาะเมล็ด
การใช้ประโยชน์ทั่วไป :     เปลือกต้น : แก้ท้องเสีย แก้บิด
ดอก : แก้พิษไข้ร้อนจากเลือดและน้ำดี เป็นยาระบาย
ใบ : ฟอกฝี แผล
ราก : ขับลม
ประวัติพันธุ์ไม้(การนำเข้ามาปลูกในไทย) :     ในประเทศไทยพบขึ้นปะปนอยู่กับต้นไม้ชนิดอื่นๆ ในป่าโปร่งผสม และป่าเบญจพรรณ ทางภาคเหนือและภาคกลางจะพบมากกว่าภาคอื่น คนไทยรู้จักชงโคมาตั้งแต่อพยพมาอยู่พื้นที่ประเทศ ไทยปัจจุบัน ชื่อชงโคมีปรากฏอยู่ในวรรณคดีไทย สมัยอยุธยาเป็นต้นมาถึงสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ ในหนังสืออักขราภิธานศรับท์ พ.ศ. ๒๔๑๖ อธิบายเกี่ยวกับชงโคไว้ว่า”ชงโค เป็นชื่อต้นไม้อย่างหนึ่งเหมือนอย่างต้นกาหลง  แต่สีมันแดง” แสดงว่าคนไทยกรุงเทพฯ สมัย ๑๓๒ ปีก่อนโน้น รู้จักทั้งกาหลงและชงโคเป็นอย่างดี ว่ามีลักษณะคล้ายคลึงกัน ต่างกันที่สีของดอกเท่านั้น เพราะกาหลงมีกลีบดอกสีขาว ส่วนชงโคกลีบดอกออกไปทางสีแดง (ชมพู-ม่วง) ชื่อที่เรียกกันในเมืองไทยคือ ชงโค
เอกสารอ้างอิง http://www.the-than.com/FLower/Fl-1/24/24.html

ปาล์มหางกระรอก

ปาล์มหางกระรอก
original_WodyetiaBifurcata051                                           
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Wodyetia bifurcata A.K. Irvine
ชื่อวงค์ :  PALMAE
ชื่อสามัญ : Foxtail palm
ชื่อพื้นเมือง : ปาล์มหางกระรอก
ถิ่นกำเนิด : ประเทศออสเตรเลีย  ควีนส์แลนด์
การกระจายพันธ์ในประเทศไทย: ได้รับอิทธิพลจากประเทศออสเตรียในการนำเอาต้นปาล์มหางกระรอกหรือต้นฟอกเทลมาเป็นเครื่องประดับ
การกระจายพันธุในประเทศอื่นๆ: มีลักษณะเดียวกับการกระจายพันธ์ในประเทศไทยคือการนำมาปลูกเพื่อเป็น   เครื่องต้นไม้ประดับ
เวลาออกดอกหลังมีอายุของต้นปาล์ม 8-10 ปีขึ้นไป
เวลาติดผล: –
การขยายพันธ์: เพาะเมล็ด
ประโยชน์ทั่วไป: นำมาเป็นไม้ประดับทั่วไป เช่น ปลูกไว้ตามสวนสาธารณะ ริมถนน ริมสระว่ายน้ำ เป็นต้น
ประวัติพันธุ์ไม้(การนำเข้ามาปลูกในประเทศไทย):  สันนิษฐานว่านำเข้ามากับคณะสงฆ์ไทยที่ไปศึกษาธรรมะที่ลังกา
เอกสารอ้างอิงhttp://ourtreepcccr.wordpress.com

ต้นดอกลั่นทม

ต้นดอกลั่นทม
 fl_33
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Plumeria spp
ชื่อวงศ์ : Apocynaceae
ชื่อสามัญ  :  Frangipani, Pagoda, Temple
ชื่อพื้นเมืองอื่นๆ : จำปาจีน, มะยอ, จำปาลาว, จำปาขาว, จงป่า
ถิ่นกำเนิด : เม็กซิโกใต้ถึงตอนเหนือทวีปอเมริกาใต้
สภาพนิเวศวิทยา :  ลีลาวดี เป็นไม้กลางแจ้ง ชอบแสงแดด ทนต่อความแห้งแล้ง ไม่ชอบน้ำมาก ดินที่เหมาะสมในการปลูกลีลาวดี ควรมีลักษณะเป็น
ดินร่วนปนทราย ส่วนดินเหนียวหรือดินที่มีเนื้อดินละเอียดหนักซึ่งน้ำขังง่าย จะทำให้รากเน่า โคนเน่าได้ ลีลาวดีจะเจริญเติบโต
ในที่ที่มีแสงแดดส่องถึงหากไม่ได้รับแสงแดดเต็มที ก็จะไม่ออกดอก แต่บางพันธุ์ก็ไม่ต้องการแสงแดดจัดในช่วงบ่าย
เวลาออกดอก : ออกดอกระหว่างเดือนกุมภาพันธุ์-เมษายน บางพันธุ์ออกดอกตลอดปี
เวลาติดผล : เดือนพฤษภาคม-กรกฎาคม    ฤดูฝน
การขยายพันธุ์:  
–    การเพาะเมล็ด  จะใช้ฝักที่แก่จัด  ส่วนใหญ่ใช้ในการปรับปรุงพันธุ์ ซึ่งเมล็ดลีลาวดีงอกได้ง่าย แต่ละฝักของลีลาวดีจะได้ต้นกล้าประมาณ  50 -100  ต้น สามารถเพาะในกระถางเพาะได้เลย ข้อดี   ของการเพาะเมล็ดลีลาวดี คือ จะได้ต้นที่กลายพันธุ์  หรือ ต้นลีลาวดีแคระ ด่าง
–    การปักชำ  เป็นวิธีที่ง่าย รวดเร็วในการขยายพันธุ์ต้นลีลาวดีและยังเป็นวิธีรักษาพันธุ์เดิมเอาไว้
–    การเปลี่ยนยอด จะใช้ในกรณีที่ได้พันธุ์ดีแล้วนำมาเปลี่ยนยอดบนต้นตอที่เพาะกล้าไว้แล้วอาจ จะเสียบข้างหรือผ่าเป็นลิ่ม วิธีนี้ต้องป้องกันไม่ให้น้ำเข้า ไม่เช่นนั้นแผลจะเน่า
–    การติดตา ใช้ในกรณีที่ได้ตามีไม่มากนัก เป็นการขยายพันธุ์แบบประหยัด กิ่งหนึ่งสามารถขยายพันธุ์ได้เป็นจำนวนมาก
การใช้ประโยชนทั่วไป :     
ต้น  ใช้ปรุงเป็นยารักษาโรคลำไส้พิการของม้า
ใบ  ใบแห้งชงน้ำร้อนดื่มรักษาโรคหอบหืด ใบสดลนไฟประคบร้อนแก้ปวด บวม
เปลือกราก  เป็นยารักษาโรคหนองใน ยาถ่าย แก้โรคไขข้ออักเสบ ขับลม
เปลือกต้น   ต้มเป็นยาถ่าย ขับระดู แก้ไข้ แก้โรคโกโนเรีย หรือผสมกับน้ำมันมะพร้าว
-ข้าว-มันเนยเป็นยาแก้ท้องเดิน ยาถ่าย ขับปัสสาวะ
ดอก  ใช้ทำธูป ใช้ผสมกับพลูเป็นยาแก้ไข้ แก้ไข้มาลาเรีย
เนื้อไม้   เป็นยาแก้ไอ ยาถ่าย ขับพยาธิ
ยางจากต้น   เป็นยาถ่าย รักษาโรคไขข้ออักเสบ ใช้ผสมกับไม้จันทน์และการบูรเป็นยาแก้
ประวัติพันธุ์ไม้ (การนำเข้ามาปลูกในประเทศไทย) : มีการนำเข้ามาปลูกในไทย เมื่อครั้งไปตีนครธมจนได้รับชัยชนะ แล้วได้มีการนำต้นไม้ชนิดนี้เข้ามาปลูก และเรียกชื่อเป็นที่ระลึกว่า “ลั่นธม” โดยคำว่าลั่นนั้นแปลว่า ตีฆ้อง ลั่นฆ้อง ลั่นกลอง ส่วนคำว่าธมนั้นมากจากคำว่า “นครธม” จึงเป็นที่มาของชื่อลั่นธม และเพี้ยนกลายมาเป็น “ลั่นทม” ในปัจจุบัน โดยมีผู้รู้ด้านภาษาไทยได้กล่าวถึงความหมายของลั่นทมไว้ โดยมีความหมายว่า “การละแล้วซึ่งความทุกข์ความโศกเศร้าและมีความสุข” เพราะคำว่าลั่นนั้นมีหมายว่า แตกหัก ละทิ้ง ส่วนคำว่าทมก็หมายถึงความทุกข์โศก
เอกสารอ้างอิง : http://www.maipradabonline.com/weekly/lilavadee.htm